ครั้งนี้เราจะพูดถึงขั้นตอนการวินิจฉัยการเป็นออทิสติก ออทิสติกมีกี่ระดับ วิธีการรักษา และวิธีการป้องกันโรคออทิสติก ตามมาอ่านไปด้วยกันนะคะ
  • สังเกตการตอบสนองเวลาเรียกชื่อ สังเกตการมองหน้า การสบตา การยิ้มตอบ หรือการหันหน้ามามองตามเสียงเรียก
  • สังเกตถึงการถามคำถามซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่สนใจ
  • ไม่สามารถชี้นิ้วบอกความต้องการได้
  • การทดลองเปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าเพื่อตรวจดูสภาพอารมณ์ หากแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ
  • การสังเกตพฤติกรรมขณะเล่นว่าชอบเล่นคนเดียว หรือชอบเล่นรวมกันเป็นกลุ่มกับเพื่อน
  • สังเกตความสนใจที่หมกมุ่นกับของเล่นบางอย่างมากผิดปกติ
  • สังเกตรูปแบบการพูดวกวนสลับไปมา พูดซ้ำ ๆ พูดด้วยโทนเสียงที่แปลก หรือพูดด้วยภาษาของตนเอง

โดยแพทย์อาจส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อแยกโรค เช่น ตรวจการได้ยินเพื่อแยกภาวะการได้ยินบกพร่อง ทั้งนี้ ยิ่งเด็กที่เป็นโรคออทิสติกได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคได้เร็วและเข้ารับการบำบัดรักษาแบบผสมผสานร่วมกันกับแพทย์ผู้ชำนาญการอย่างเป็นระบบ ก็จะยิ่งช่วยให้เด็กที่เป็นออทิสติกมีพัฒนาการด้านการสื่อสารและการเข้าสังคมที่เป็นปกติได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น

  • ระดับที่ 1 ต้องการการช่วยเหลือสนับสนุน (Requiring support) สามารถสังเกตเห็นถึงความบกพร่องในการสื่อสารได้อย่างชัดเจน มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อย ไม่มีความยืดหยุ่นในการทำกิจวัตรประจำวัน มีปัญหาในการวางแผนและการจัดการที่เป็นระบบ ทำให้เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต และต้องการการสนับสนุนช่วยเหลือ
  • ระดับที่ ต้องการการสนับสนุนและช่วยเหลือมาก (Requiring substantial support) มีความบกพร่องในการสื่อสารทั้งในการใช้คำพูดและการใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเลย มีการตอบสนองต่อบุคคลน้อยมาก มีวิธีการสื่อสารแปลก ๆ มีความสนใจจำกัด มีปัญหาในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง มีพฤติกรรมทำซ้ำ ๆ จนเห็นได้ชัด
  • ระดับที่ 3 ต้องการการช่วยเหลือสนับสนุนอย่างสูงมาก (Requiring very substantial support) มีความบกพร่องในการสื่อสารทั้งในการใช้คำพูดและการใช้ท่าทางในการสื่อความหมายอย่างรุนแรง มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อยมาก ๆ พูดน้อยมาก ๆ แสดงออกอย่างก้าวร้าวรุนแรงเมื่อถูกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม มักทำเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก
  • อรรถบำบัด (Speech therapy) หรือการฝึกพูดเพื่อให้จดจำคำศัพท์ ฝึกการเปล่งเสียง การออกเสียง การสร้างประโยค ฝึกวิธีการสื่อสาร วิธีการบอกความต้องการของตนเองกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม
  • การฝึกทักษะการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Social skills therapy) ฝึกการเข้าหาและตอบสนองกับผู้อื่น ฝึกการสื่อความต้องการของตนเองด้วยการใช้คำพูดหรือท่าทาง เช่น ฝึกการทำความรู้จักกับสมาชิกในบ้าน ฝึกการทำความรู้จักกับคุณครูและเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน ฝึกการเล่นบทบาทสมมุติ หรือการเล่นเป็นกลุ่มกับเพื่อน ๆ ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
  • พฤติกรรมบำบัด (Behavioral therapy) เป็นการบำบัดเพื่อหยุดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา พร้อมทั้งส่งเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสมในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม เช่น การให้รางวัล ชมเชย ปรบมือ หรือยิ้มให้เมื่อเด็กสามารถทำตามที่ร้องขอได้ นอกจากนี้ ผู้ปกครองยังสามารถใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจเด็กเพื่อให้เด็กทำสิ่งอื่นแทน หรือการแสดงการเมินเฉยเมื่อเด็กร้องไห้หรือออกคำสั่ง โดยในการปรับพฤติกรรม ผู้ปกครองควรสื่อสารให้กระชับ เข้าใจง่าย และไม่ควรต่อว่าเด็กหรือทำให้เด็กรู้สึกไม่ดี
  • กิจกรรมบำบัด (Occupational therapy) แพทย์จะแนะนำให้ฝึกกิจกรรมบำบัด หากตรวจพบพัฒนาการล่าช้าของกล้ามเนื้อมัดเล็กร่วมกันกับการวินิจฉัยออทิสติก โดยการบำบัดนี้เป็นการฝึกการทำกิจกรรมเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก รวมถึงการทำงานผสานกันของกล้ามเนื้อมัดต่าง ๆ ของร่างกาย
  • การรักษาโดยการให้ยา (Medications) เป็นการรักษาเพื่อปรับสมดุลการทำงานของสารสื่อประสาทส่วนกลางของสมอง เพื่อลดอาการสมาธิสั้น อยู่ไม่นิ่ง พฤติกรรมหมกมุ่น หรือพฤติกรรมก้าวร้าว โดยแม้ว่าการรักษาด้วยยาอาจไม่ได้ทำให้เด็กที่เป็นโรคออทิสติกหายจากอาการ แต่พบว่าช่วยให้เด็กสามารถให้ความร่วมมือในการฝึกเพื่อพัฒนาทักษะของตนเองได้อย่างเหมาะสม และเมื่อเด็กมีอาการตอบสนองที่เป็นข้อบ่งชี้ในการใช้ยาที่ดี แพทย์จะพิจารณาค่อย ๆ ปรับลดปริมาณยาหรือหยุดให้ยาไปในที่สุด
  • การเสริมสร้างพัฒนาการ (Group-based parent training) เป็นการบำบัดเพื่อฝึกทักษะทางสังคมและอารมณ์โดยความร่วมมือกันระหว่างคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองที่บ้าน คุณครูที่โรงเรียน และแพทย์ผู้ชำนาญการที่โรงพยาบาลผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเล่าเรื่องด้วยภาพ การสื่อสารด้วยการใช้สัญลักษณ์ การเล่นเกมส์ที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกายร่วมกับการใช้อุปกรณ์ การเล่นกีฬา ดนตรีบำบัด ศิลปะบำบัด
  • การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานเพื่อค้นหาความเสี่ยงของโรคแฝงทางพันธุกรรมและลดโอกาสในการเป็นพาหะนำโรคสู่ลูกผ่านการตั้งครรภ์
  • หลีกเลี่ยงสารเสพติดทุกชนิด งดการดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และการสูดดมควันบุหรี่มือสอง
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่มลภาวะเป็นพิษสูง พื้นที่ที่มีความหนาแน่นของมลพิษทางอากาศ PM2.5 หรือแหล่งสะสมของสารเคมี
  • เมื่อมีอาการเจ็บป่วยควรรีบพบแพทย์
  • หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์

ออทิสติก วินิจฉัยโรคเร็ว บำบัดรักษาโรคไว ใช้ชีวิตเป็นปกติในสังคมได้

ออทิสติกสามารถบำบัดรักษาโรคได้โดยเข้ารับการรักษาร่วมกันกับการกระตุ้นพัฒนาการทางด้านภาษาและการสื่อสาร รวมถึงการเข้าสังคมเพื่อช่วยให้เด็กที่เป็นออทิสติกมีพัฒนาการรอบด้านที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยออทิสติกในเด็กเล็กอาจกระทำได้ยาก ทั้งนี้การสังเกตอาการบ่งชี้ของอออิสติก และรีบนำเด็กมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจประเมินเบื้องต้น และเฝ้าติดตามพัฒนาการของเด็กอย่างใกล้ชิด จะเป็นตัวช่วยให้เด็กได้รับการวินิจโรคและรับการบำบัดรักษาได้เร็วตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการตามวัยได้เหมือนกับเด็กปกติทั่วไป

จากข้อมูลของสมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (American Academy of Pediatrics: AAP) มีคำแนะนำให้เด็กที่มีอายุ 9, 18 และ 30 เดือนทุกคน เข้ารับการตรวจคัดกรองพัฒนาการด้วยเครื่องมือมาตรฐานเพื่อช่วยให้สามารถวินิจฉัยออทิสติกและ/หรือพัฒนาการล่าช้าอื่น ๆ โดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อที่จะได้นำเด็กเข้าสู่กระบวนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เด็กได้รับผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา และเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *